วันศุกร์ที่ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2555

>> พบภาพใบหน้าพระเยซู ปรากฎโผล่บริเวณมุมตึกในอังกฤษ

ฮือฮา พบภาพใบหน้าพระเยซู ปรากฎโผล่บริเวณมุมตึกในอังกฤษ ผู้คนบอก"เหมือนจ้องมองมนุษย์"
วันที่ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2555 เวลา 13:45:27 น.
สำนัก ข่าวต่างประเทศรายงานเมื่อวันที่ 29 มิ.ย.ว่า เกิดเหตุฮือฮา เมื่อปรากฎภาพคล้ายใบหน้าพระเยซู บริเวณมุมตึกแห่งนี้ ในเมืองซันเดอร์แลนด์ของอังกฤษ โดยตึกดังกล่าวเป็นตึกของกิจการจีน และถูกพบโดยสองหนุ่มที่กำลังรอรถอยู่ในบริเวณดังกล่าว และได้พบเห็นภาพชวนทึ้งนี้ และได้บันทึกภาพไว้เพื่อเป็นหลักฐานความแปลกประหลาด โดยพวกเขาพวกว่า หลังจากได้เผยแพร่ภาพนี้ ปรากฎว่า ผู้คนต่างตะลึงไปทั่ว และไม่อยากจะเชื่อสายตาของพวกเขา เนื่องจากภาพดังกล่าวเหมือนพระเยซูกำลังจ้องมองดูเราอยู่
Posted Image
นับเป็นอีกเหตุการณ์หนึ่งที่เกิดขึ้นในลักษณะนี้ที่อังกฤษ โดยเมื่อปี 2004 มีการรูปคล้ายพระแม่มารี บนหน้าแซนด์วิช ชีส และถูกนำไปประมูลขายในอีเบย์ ได้เงินเป็นจำนวน 28,000 ดอลลาร์ นอกจากนี้ เมื่อปี 2003 โรงพยาบาลอเมริกันได้เรียกร้องให้คริสต์จักรแห่งนี้มาช่วยเคลียร์สถานการณ์ แตกตื่น หลังผู้คนเชื่อว่าเห็นภาพพระแม่มารี บนกระจกชั้นสาม

>> ชมรมสหกรณ์จังหวัดตากจัดอบรมหลักสูตร "การส่งเสริมการบริหารการจัดการสหกรณ์"

    
ชมรมสหกรณ์จังหวัดตาก  ชุมนุมสหกรณ์การเกษตรจังหวัดตาก จำกัด  ร่วมกับ ชุมนุมสหกรณ์การเกษตรแห่งประเทศเทศไทย จำกัด จะได้จัดอบรมหลักสูตร "การส่งเสริมการบริหารการจัดการสหกรณ์" ให้แก่คณะกรรมการ  ฝ่ายจัดการ และสมาชิกแกนนำ ของสหกรณ์ต่าง ๆ ในจังหวัดตาก ระหว่างวันที่ 20 -21  กรกฎาคม  2555  ณ ห้องประชุมเวียงปิง ชั้น 4  โรงแรมเวียงตากริเวอร์ไซค์  อำเภอเมือง  จังหวัดตาก  
ศิริชัย  ออสุวรรณ  
ประธานกรรมการดำเนินการ
ชุมนุมสหกรณ์การเกษตรแห่งประเทศไทย จำกัด
****************
วันที่  20  กรกฎาคม  2555
08.00 - 09.00 น. 
ลงทะเบียนเข้ารับการฝึกอบรม พร้อมรับประทานอาหารว่าง

09.00 - 09.30 น.
พิธีเปิดการอบรม 
โดย นายศิริชัย   ออสุวรรณ ประธานกรรมการดำเนินการ
ชุมนุมสหกรณ์การเกษตรแห่งประเทศไทย  จำกัด

09.30 - 12.00 น.
การบรรยายหัวข้อ
“โครงการชุมนุมสหกรณ์การเกษตรจังหวัดต้นแบบ”
โดย นายศิริชัย   ออสุวรรณ  ประธานกรรมการดำเนินการ 
ชุมนุมสหกรณ์การเกษตรแห่งประเทศไทย  จำกัด
และ นายไกรสิทธิ์   โรจนเกษตรชัย
รักษาการแทนผู้จัดการใหญ่ 
ชุมนุมสหกรณ์การเกษตรแห่งประเทศไทย จำกัด

12.00 – 13.00 น. พักรับประทานอาหารกลางวัน

13.00 – 14.30 น.
บรรยายหัวข้อ   “...(บัญชีของสหกรณ์).....”
โดย ....................................

14.30 – 14.45 น.  พักรับประทานอาหารว่าง  

14.45 – 17.00 น.  
บรรยายหัวข้อ
“โครงสร้างทางการเงินของสหกรณ์การเกษตร”
โดย อาจารย์ปรเมศวร์  อินทรชุมนุม  
อัยการผู้เชี่ยวชาญพิเศษ สำนักงานอัยการสูงสุด

17.00 – 18.00 น. พักผ่อนตามอัธยาศัย

18.00 – 22.00 น. กิจกรรมกลุ่มสัมพันธ์ (พักค้าง 1  คืน)

วันที่  21  กรกฎาคม  2555
07.00 – 08.30 น. รับประทานอาหารเช้า

08.30 – 10.30 น.
การบรรยายหัวข้อ
“การบริหารจัดการให้เกิดประสิทธิผล”
โดย   ดร.สุรวงศ์    วัฒนกุล

10.30 – 10.45 น. พักรับประทานอาหารว่าง

10.45 – 12.00 น.
สรุป และตอบข้อซักถาม
โดย ชุมนุมสหกรณ์การเกษตรแห่งประเทศไทย  จำกัด 
และชมรมสหกรณ์จังหวัดตาก

ปิดการอบรม

12.00 – 13.00 น  พักรับประทานอาหารกลางวัน 
และ เดินทางกลับโดยสวัสดิภาพ

ติดต่อสอบถาม : 
ณรงค์  ชัยแก้ว 
ประธานชมรมสหกรณ์จังหวัดตาก
โทร : 081-887-2105

>> สกก.วังเจ้า นำสมาชิกเข้าฝึกอบรมที่วิทยาลัยชุมชนตาก

สหกรณ์วังเจ้า นำสมาชิกเข้าร่วมฝึกอบรม “โครงการ 1 ไร่ ได้เงิน 1 แสนบาท”


เพื่อเป็นการขยายผลหลักสูตร “ทำนา 1 ไร่ ได้เงิน 1 แสนบาท” ของวิทยาลัยชุมชนตาก (วชช.ตาก) สหกรณ์การเกษตรปฏิรูปที่ดินวังเจ้า จำกัด โดยการนำของ ผู้“พิเชษฐ์  พบพืช” จัดการสหกรณ์ หนึ่งในคณะกรรมการร่างหลักสูตร “ทำนา 1 ไร่ ได้เงิน 1 แสนบาท” ได้นำสมาชิกสหกรณ์การเกษตรฯ วังเจ้า กลุ่มทำนาอินทรีย์ข้าวหอมนิล จำนวน 20 คน เข้าร่วมฝึกอบรมที่วิทยาลัยชุมชนตาก ระหว่างวันที่ 27 – 28 มิถุนายน 2555 โดยคาดหวังว่าสมาชิกสหกรณ์การเกษตรฯ วังเจ้า จะได้นำประสบการณ์ในครั้งนี้ ไปปรับปรุงพัฒนาการทำนาของตนเองต่อไป


โครงการ “ทำนา 1 ไร่ ได้เงิน 1 แสนบาท” ถือได้ว่าเป็นรูปแบบของเกษตรทฤษฏีใหม่ ตามหลักปรัชญา “เศรษฐกิจพอเพียง” ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ทั้งนี้ วิธีการทำนาของเกษตรกร ตามโครงการ “ทำนา 1 ไร่ ได้เงิน 1 แสนบาท” ก็คือ

แบ่งแปลงนาขนาด 1 ไร่ ออกเป็น 4 ส่วน ส่วนแรก คือ "คันนา" ขนาดความกว้าง 1.5 เมตร ไว้สำหรับปลูกพืชประกอบ เช่น พริก มะนาว มะรุม โดยพืชที่ปลูกบนคันนา จะสามารถสร้างรายได้เสริมให้เกษตรกร เหลือจากการขาย สามารถทำเป็นพืชสมุนไพร ใช้ป้องกันกำจัดศัตรูพืช

ส่วนที่สอง คือขุดร่องน้ำสำหรับทำประมง เลี้ยงปลา เลี้ยงกุ้ง เลี้ยงกบ เลี้ยงหอย ซึ่งมูลสัตว์เหล่านี้จะกลายเป็นปุ๋ยแก่ข้าว สัตว์น้ำทั้งหลาย กุ้ง หอย ปู ปลา ฯลฯ ก็ปล่อยให้มันกินกันเอง

ขณะที่ส่วนที่สาม คือพื้นที่สำหรับปลูกข้าว และส่วนที่สี่ คือพื้นที่เลี้ยงเป็ดไข่ จะปล่อยเป็ดไปหากินตามแปลงนาได้ ทั้งหมดนี้เป็นการทำให้ระบบนิเวศน์เกื้อกูลต่อกัน


โครงการ “ทำนา 1 ไร่ ได้เงิน 1 แสนบาท” ของวิทยาลัยชุมชนตากนี้ เป็นการบูรณาการจากหลายภาคส่วน เช่น สหกรณ์การเกษตรปฏิรูปที่ดินวังเจ้า จำกัด องค์การบริหารส่วนจังหวัดตาก มูลนิธิส่งเสริมการปกตรองท้องถิ่น (อุดร  ตันติสุนทร) สำนักงานพัฒนาที่ดินจังหวัดตาก สำนักงานเกษตรอำเภอเมืองตาก สำนักงานประมงจังหวัดตาก และ สำนักงานตรวจบัญชีสหกรณ์ตาก 


>> ข้าว, ถั่วเหลือง, ข้าวโพด, มันสำปะหลัง กับ AEC

AEC-ASEAN
ศักยภาพ ข้าว, ถั่วเหลือง, ข้าวโพด, มันสำปะหลัง กับ AEC
Posted in: 15 มิถุนายน 2555
การยกเลิกกำแพงภาษีและลดอุปสรรคทางการค้าสินค้าเกษตร ภายใต้การเปิดตลาดสินค้าเกษตร หลังการรวมกลุ่มเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) แล้ว ในภาพรวมจะก่อให้เกิดประโยชน์ในการใช้ฐานการผลิตเดียวกัน การขยายการส่งออก และโอกาสทางการค้าสินค้าเกษตรและบริการ เนื่องจากอาเซียนจัดเป็นตลาดใหญ่มีประชากรรวมกันถึง 580 ล้านคน ทั้งยังเป็นยุทธศาสตร์เศรษฐกิจที่สำคัญและได้รับความสนใจจากประเทศคู่ค้า จนมีการลงนามความตกลงเปิดเขตการค้าเสรีอาเซียน +1 ไปแล้ว 6 ประเทศ ได้แก่ จีน, ญี่ปุ่น, เกาหลี, อินเดีย, ออสเตรเลีย/นิวซีแลนด์

แม้ว่าการเปิดตลาดภายใต้กรอบอาเซียนจะสร้างประโยชน์ให้กับภาคการส่งออก แต่ก็ไม่สามารถปฏิเสธได้เช่นกันว่า การเปิดประตูสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) ในครั้งนี้อาจส่งผลกระทบต่อสินค้าภายในประเทศได้เช่นเดียวกัน
ข้าว
ประเทศไทยในฐานะที่เป็นประเทศผู้ส่งออกข้าวอันดับหนึ่งของโลก มีความคาดหวังการเปิดเสรีประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) ว่าจะทำให้ภาษีนำเข้าข้าวของตลาดอาเซียนลดลงเป็น 0% ซึ่งจะช่วยเปิดตลาดส่งออกข้าวไทยไปยังกลุ่มประเทศอาเซียนให้ได้มากขึ้น แต่แท้ที่จริงแล้ว การลดภาษีนำเข้าข้าวของประเทศสมาชิกอาเซียน ไม่ว่าจะเป็นอินโดนีเซีย, มาเลเซีย, และฟิลิปปินส์ ต่างกำหนดให้สินค้าข้าวอยู่ในรายการสินค้าที่มีความอ่อนไหวสูง (Sensitive List) และยังคงอัตราภาษีนำเข้าอยู่ระหว่างร้อยละ 30-40 อยู่ รวมทั้งมีการใช้มาตรการที่มีใช่ภาษีในการนำเข้าข้าวด้วย

นอกจากนี้สินค้าข้าวไทยยังคงต้องเผชิญกับการแข่งขันในด้านราคากับประเทศคู่แข่งในอาเซียนด้วยกันเอง อาทิ เวียดนาม กัมพูชา และในอนาคตอาจจะเป็นเมียนมาร์ซึ่งมีต้นทุนในการผลิตข้าวต่ำกว่าประเทศไทย ส่งผลให้ส่วนแบ่งการตลาดของการส่งออกข้าวไทยในอาเซียนปรับลดลง

โดยผลศึกษาตลาดข้าวอาเซียนของศูนย์ศึกษาการค้าระหว่างประเทศ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย พบว่าการส่งออกข้าวเวียดนามกับข้าวไทยในตลาดอาเซียนระหว่างปี  2547-2551 ปรากฏข้าวไทยมีอัตราการขยายตัวลดลงเมื่อเทียบกับข้าวเวียดนาม นับตั้งแต่ปี 2548 เวียดนามส่งออกข้าวไปยังตลาดอาเซียนมีการขยายตัว 94.2% ส่วนแบ่งตลาดเพิ่มขึ้นเป็น 67.5% ขณะที่ไทยมีอัตราการขยายตัวเพียง 13.4% ส่วนแบ่งตลาด 31.1% เท่านั้น

และหลังจากนั้นเป็นต้นมา แม้ข้าวไทยจะมียอดการส่งออกข้าวในตลาดอาเซียนเพิ่มขึ้น แต่ยังไม่สามารถแย่งส่วนแบ่งตลาดข้าวจากเวียดนามได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งข้าวคุณภาพต่ำ เวียดนามมีราคาขายถูกกว่าข้าวไทยมาก ยกตัวอย่าง ราคาข้าวขาว 5% ของไทยสูงกว่าเวียดนามเฉลี่ย 30 เหรียญสหรัฐ/ตัน และในปี 2552 ราคาข้าวขาว 5% ของไทยสูงกว่าเวียดนามถึง 123 เหรียญสหรัฐ/ตัน สาเหตุที่ต้นทุนข้าวไทยสูงกว่าข้าวเวียดนามอาจจะมาจากนโยบายของรัฐบาล อาทิ การรับจำนำข้าวสูงกว่าราคาตลาดโลก ซึ่งจัดเป็นการอุดหนุนชาวนาโดยตรง ส่งผลให้ข้าวไทยไม่สามารถแข่งขันในตลาดอาเซียนได้

ที่สำคัญการที่ ราคาข้าวไทยสูงเกินความเป็นจริง ซึ่งเป็นผลมาจากนโยบายรับจำนำของรัฐบาล อาจจะทำให้ข้าวราคาถูกจากประเทศเพื่อนบ้าน อาทิ กัมพูชาทะลักเข้ามาภายในประเทศผ่านตามแนวชายแดนได้ ซึ่งเป็นปรากฏการณ์เดียวกันกับกรณีของน้ำมันปาล์ม ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ มันสำปะหลัง เมล็ดกาแฟดิบ และน้ำตาล เป็นปัญหาต่อเนื่องมาจนทุกวันนี้
ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์
สถานการณ์ของข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ในประเทศก็คือ มีปริมาณไม่เพียงพอต่อความต้องการใช้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งอุตสาหกรรมผลิตอาหารสัตว์ ส่งผลให้ต้องเปิดให้มีการนำเข้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์จากต่างประเทศ

จากการศึกษาของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ พบว่าภายหลังการเปิดเสรีในปี 2558 ที่อัตราภาษีนำเข้าข้าวโพดจะลดลงเป็นร้อยละ 0 จะมีการนำเข้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์จากประเทศสมาชิกอาเซียนเข้า
มาภายในประเทศมากขึ้น

แม้ว่าการนำเข้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ในระยะแรกจะยังมีปริมาณไม่มากนัก แต่ในระยะยาวการนำเข้าข้าวโพดจะเพิ่มมากขึ้น ซึ่งเป็นผลมาจากบริษัททางด้านปศุสัตว์ไทยได้เข้าไปส่งเสริมการลงทุนปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์และพืชชนิดอื่นๆ รวม 10 รายการในลักษณะ Contract Farming ภายใต้โครงการความร่วมมือสาขาการเกษตรและอุตสาหกรรมภายใต้ ยุทธศาสตร์ความร่วมมือทางเศรษฐกิจ อิรวดี-เจ้าพระยา-แม่โขง (Ayeyawady-Chao Phraya-Mekong Economic Cooperation Strategy : ACMECS) ระหว่างกัมพูชา ลาว พม่า ไทย และเวียดนาม โดยได้รับการยกเว้นภาษีนำเข้าและไม่ต้องมีใบรับรองแหล่งกำเนิดสินค้า (Certicate of Origin : C/O) เป็นโครงการนำร่องอยู่แล้ว โดยพืชทั้ง 10 รายการ ได้แก่ ถั่วเหลือง, ถั่วลิสง, ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์, ละหุ่ง, มันฝรั่ง, ข้าวโพดหวาน, มะม่วงหิมพานต์, ยูคาลิปตัส, ลูกเดือย และ ถั่วเขียว ผิวมัน ในอนาคตจะเข้ามากดราคาสินค้าเกษตรภายในประเทศ เหมือนกับที่กำลังเกิดขึ้นจากการนำเข้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์จากกลุ่ม ACMECS อยู่ในปัจจุบันจนต้องมีการกำหนดระยะเวลาการนำเข้าในที่สุด
ถั่วเหลือง
ปัจจุบันผลผลิตถั่วเหลืองในประเทศไทยที่ยังมีไม่เพียงพอต่อความต้องการใช้ เมื่อประเทศสมาชิกอาเซียนต้องลดภาษีเป็น 0% ในปี 2553 ทำให้ผู้ประกอบการแปรรูปผลิตภัณฑ์จากถั่วเหลือง โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มโรงงานผลิตน้ำมันถั่วเหลืองกับ โรงงานผลิตอาหารสัตว์สามารถนำเข้าเมล็ดถั่วเหลืองและกากถั่วเหลืองได้ในราคาที่ถูกลง ในระยะสั้นอาจจะยังไม่ส่งผลกระทบต่อเกษตรกรผู้ปลูกถั่วเหลือง เนื่องจากรัฐบาลมีระบบการนำเข้าภายใต้โควตาและบังคับให้โรงงานรับซื้อเมล็ดถั่วเหลืองในราคาประกัน

แต่ในระยะยาวอาจจะส่งผลกระทบให้จำนวนเกษตรกรผู้ปลูกถั่วเหลืองลดลง เนื่องจากประเทศเพื่อนบ้าน อาทิ เวียดนาม ลาว สามารถปลูกถั่วเหลืองในพื้นที่ทางตอนเหนือของประเทศให้ผลผลิตต่อไร่สูงกว่าผลผลิตถั่วเหลืองไทย หากประเทศเหล่านี้สามารถพัฒนาผลผลิตต่อไร่และต้นทุนการผลิตให้ต่ำกว่าประเทศไทย จะยิ่งมีเมล็ดถั่วเหลืองราคาถูกทะลักเข้าสู่ประเทศไทยมากขึ้น จนถูกกลุ่มอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกดราคารับซื้อเมล็ดถั่วเหลืองจากเกษตรกรในที่สุด
มันสำปะหลัง
การเปิดเสรีทางการค้าภายใต้ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) จะส่งผลทางด้านบวกกับสินค้าเกษตรอย่างมันสำปะหลังเพียงรายการเดียว เนื่องจากไทยเป็นประเทศที่มีศักยภาพในการผลิตและส่งออกผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังได้มากที่สุดในอาเซียน โดยครองส่วนแบ่งตลาดมากกว่าประเทศ คู่แข่งอย่าง เวียดนามและอินโดนีเซียค่อนข้างมาก ประกอบกับไทยมีต้นทุนการผลิตมันสำปะหลังต่อไร่ต่ำกว่า
รวมไปถึงการพัฒนาเทคโนโลยีในการผลิตและการแปรรูปมันสำปะหลังในรูปแบบต่าง ๆ ให้มีความหลากหลายมากขึ้น

ไม่ว่าจะเป็นโรงงานแป้งมัน โรงงานแป้งแปรรูป และอุตสาหกรรมต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม มูลค่าการส่งออกผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังของไทยปัจจุบันขึ้นอยู่กับการส่งออก “มันเส้น” ไปยังประเทศจีน โดยที่มันเส้นไทยจะต้องแข่งขันทางด้านราคากับมันเส้นจีน มีข้อได้เปรียบอยู่ที่เวียดนามยังไม่สามารถผลิตมันเส้นเพียงพอต่อความต้องการใช้ในตลาดจีนได้ แต่ข้อน่าเป็นห่วงในอนาคตก็คือ มันเส้นเวียดนามมีการพัฒนาในเรื่องของคุณภาพมากกว่ามันเส้นไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องของ “มันเส้นสะอาด” กลายเป็นประเด็นสำคัญขึ้นมาในช่วง 1-2 ปีนี้ หลังจากที่ผู้นำเข้ามันเส้นจีนอาศัยเรื่องของความสะอาด-สิ่งเจือปนมากดราคามันเส้นไทย

ในทางกลับกัน เมื่อรัฐบาลไทยกำหนดนโยบายรับจำนำมันสำปะหลังภายในประเทศด้วยราคาที่สูงกว่าราคามันสำปะหลังในตลาดโลก ก็มักจะเกิดปรากฏการณ์ลักลอบนำเข้ามันสำปะหลังตามแนวชายแดน โดยเฉพาะอย่างยิ่งกัมพูชา เข้ามาสวมสิทธิจำนำมันสำปะหลังภายในประเทศ เป็นปัญหาต่อเนื่องมาทุกปี แม้ว่าปริมาณการนำเข้ามันสำปะหลังจากประเทศเพื่อนบ้านจะไม่มากพอที่จะส่งผลกระทบกับมันสำปะหลังไทยก็ตาม

ที่มา  หนังสือพิมพ์ประชาชาติธุรกิจ (บางส่วนเฉพาะที่เกี่ยวข้องกับเกษตรกรในตาก )

>> ไทยปรับลดอัตราภาษีเงินได้นิติบุคลเพื่อรองรับ AEC

AEC-ASEAN
การปรับลดอัตราภาษีเงินได้นิติบุคคลของประเทศไทย รองรับ AEC
Posted in: 29 มิถุนายน 2555
ในการเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลของรอบระยะเวลาบัญชีปี 2555 กรมสรรพากรได้มีการแก้ไขกฎหมายเพื่อปรับลดอัตราการจัดเก็บภาษีจากร้อยละ 30 เป็นร้อยละ 23 และสาหรับรอบระยะเวลาบัญชีปี 2556 เป็นร้อยละ 20 ทั้งนี้โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ

อย่างไรก็ดี การปรับลดอัตราภาษี หรือปรับลดอัตราภาษีแล้ว
จะมีผลกระทบต่อรายได้ภาษีอากรอย่างไร หรือเมื่อปรับลดอัตราภาษีแล้วเปรียบเทียบกับอัตราของต่างประเทศเป็นอย่างไร ดังนั้น ขอสรุปไว้ดังนี้


1. การจัดเก็บภาษีเงินได้นิติบุคคลของประเทศไทยประเทศไทยจัดเก็บภาษีเงินได้นิติบุคคลในอัตราร้อยละ30 มาตั้งแต่ปี 2535 โดยจัดเก็บภาษีในอัตราเดียวสาหรับทุกบริษัทและห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล อย่างไรก็ดี ในระยะเวลาต่อมาได้มีการปรับลดอัตราภาษีเป็นกรณีพิเศษ ให้แก่ กิจการหรือบริษัทเป้าหมายที่ภาครัฐมีนโยบายสนับสนุนและส่งเสริม


2. อัตราภาษีเงินได้นิติบุคคลของประเทศต่างๆ ทั่วโลกจากการศึกษาข้อมูลของ KPMG International ที่ได้มีการสารวจ ในปี2554 พบว่าอัตราเฉลี่ยของภาษีเงินได้นิติบุคคลของประเทศต่างๆ ทั่วโลก ในรอบ 5 ปี (พ.ศ.  2549 – 2554) มีแนวโน้มลดลง


3. การเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศจากข้อมูลอัตราภาษีเงินได้นิติบุคคลเฉลี่ยของประเทศต่างๆ ทั่วโลก จะพบว่าในรอบ 5 ปีที่ผ่านมาอัตราภาษีมีแนวโน้มลดลงอย่างชัดเจน โดยค่าเฉลี่ยในปี 2549 อยู่ที่ร้อยละ 25.28 ลดลงมาเป็นร้อยละ 22.96 ในปี 2554 ดังนั้นจากข้อมูลส่วนนี้จึงกล่าวได้ว่าอัตราภาษีเงินได้นิติบุคคลของประเทศต่างๆ ทั่วโลกปรับตัวในทิศทางที่ลดลง


4. เพื่อเป็นการดารงไว้ซึ่งศักยภาพในการแข่งขันของประเทศ ไม่ว่าจะเป็นการแข่งขันกับประเทศต่างๆทั่วโลกหรือเฉพาะในกลุ่มประเทศ AEC ประเทศไทยจึงมีความจาเป็นที่จะต้องปรับลดอัตราภาษีลงและต้องปรับลดลงในอัตราที่เหมาะสมด้วย ทั้งนี้เพื่อที่จะทาให้บริษัทไทยมีต้นทุนต่าพอที่จะสามารถแข่งขันในตลาดโลก รวมทั้งยังต้องเพียงพอในการดึงดูดให้บริษัทต่างชาติเข้ามาลงทุนในประเทศไทยอีกด้วย สาหรับกรณีของภาษีสูญเสียในช่วงแรกนั้น หากต่อมาเศรษฐกิจของประเทศไทยได้เติบโตขยายตัว ประเทศไทยก็จะได้ภาษีกลับคืนมาในระยะเวลาต่อไป


นอกจากนี้ หากเปรียบเทียบอัตราภาษีของกลุ่มประเทศอาเซียนที่จะได้มีการรวมตัวเป็น ASEAN Economic Community (AEC) ในปี2558 นั้น พบว่าอัตราภาษีของประเทศไทยมีอัตราที่สูง โดยเท่ากับอัตราของประเทศพม่าและฟิลิปปินส์ และหากเปรียบเทียบกับกลุ่มประเทศที่มีศักยภาพในการแข่งขันระดับเดียวกับประเทศไทย เช่นเวียดนาม มาเลเซีย อินโดนีเซีย รวมทั้งของประเทศสิงคโปร์จะพบว่าประเทศเหล่านี้ต่างมีอัตราภาษีต่ำกว่าของประเทศไทยทั้งสิ้น
บทสรุป
ดังนั้น จากเหตุผลที่ได้กล่าวข้างต้น หากจะให้เศรษฐกิจของประเทศไทยสามารถแข่งขันได้กับประเทศต่างๆ ทั่วโลกรวมทั้งเพื่อเป็นการรองรับการเกิด AEC ในปี 2558 ที่สินค้า บริการ การลงทุน แรงงานและเงินทุนที่เคลื่อนย้ายได้อย่างเสรีประเทศไทยจึงมีความจาเป็นจะต้องปรับลดอัตราภาษีเงินได้นิติบุคคลลง


และต้องเป็นไปในอัตราที่แข่งขันได้ ซึ่งอัตราใหม่ของประเทศไทยที่จัดเก็บในปี 2555 ที่อัตราร้อยละ 30 และในปี 2555 ที่อัตราร้อยละ 20 นั้นจะทำให้อัตราภาษีของประเทศไทยต่ากว่าอัตราเฉลี่ยทั่วโลก และหากเปรียบเทียบกับกลุ่มประเทศ AEC แล้ว จะต่ำกว่าทุกประเทศยกเว้นประเทศสิงคโปร์เท่านั้น


อย่างไรก็ดี การปรับลดอัตราภาษีของประเทศไทยนั้นในช่วงแรกจะมีผลกระทบอยู่บ้างในเรื่องรายได้ภาษีอากรโดยจะมีภาษีสูญเสียในช่วงปี 2555 ถึง 2557 อยู่ประมาณ 150,000 ล้านบาท

ที่มา : โดยสาธิต รังคสิริ อธิบดีกรมสรรพากร ฐานเศรษฐกิจ

>> ผลกระทบจาก AEC : สิงคโปร์ ใช้ประโยชน์ AEC ตั้งบริษัท ฮุบธุรกิจข้าวไทย ???

AEC-ASEAN
สิงคโปร์ ใช้ประโยชน์ AEC ตั้งบริษัท ฮุบธุรกิจข้าวไทย ???
Posted in: 23 มิถุนายน 2555

รายงานข่าวจากกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า การสัมมนาโครงการจัดทำยุทธศาสตร์รายสินค้าเพื่อเชื่อมโยงตลาดจากภูมิภาคสู่สากลใน 4 กลุ่มสินค้า ได้แก่ ข้าว ผลไม้ สิ่งทอ และเคหะสิ่งทอ และกลุ่มธุรกิจเกี่ยวเนื่องกับการท่องเที่ยว ภาคเอกชนได้แสดงความเป็นห่วงและต้องการให้ภาครัฐเร่งดูแลแก้ปัญหาการผลิตและปลูกข้าวอย่างเร่งด่วน เนื่องจากขณะนี้มีหลายประเทศเตรียมตัวใช้ประโยชน์จากการเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (เออีซี) ปี 2558 เข้ามาหาผลประโยชน์ และสร้างความเสียหายแก่ธุรกิจของคนไทย เพราะพบว่าปัจจุบันมีหลายประเทศ โดยเฉพาะสิงคโปร์เริ่มรุกเข้ามาทำธุรกิจข้าวในไทยแล้ว นอกเหนือจากกลุ่มประเทศตะวันออกกลาง โดยใช้พื้นที่แถบภาคเหนือปลูกข้าวหอมมะลิและส่งกลับไปขายหรือบริโภคในสิงคโปร์ รวมถึงมีการจัดตั้งบริษัทค้าข้าวระหว่างประเทศขึ้นในไทยเพื่อทำธุรกิจนำข้าวไทยส่งออกไปต่างประเทศด้วย จึงห่วงว่าอนาคตเมื่อเปิดเป็นเออีซีแล้วจะมีต่างชาติเข้ามาตั้งบริษัท โรงสี ค้าข้าวในไทยมากขึ้น เพราะรัฐบาลไม่ได้สั่งห้าม ทาให้คนไทยที่ทำธุรกิจข้าวเดือดร้อน
น.ส.กอบสุข เอี่ยมสุรีย์ นายกสมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย กล่าวว่า การที่ชาวต่างชาติเข้ามาแย่งกิจการข้าวในไทย ทั้งการเป็น นอมินี (ตัวแทน) โรงสี หรือตั้งบริษัทค้าข้าวมีเพิ่มอย่างต่อเนื่อง และเป็นห่วงว่าหากเกิดการเปิดเออีซีน่าจะมีชาวต่างชาติไหลเข้ามาทำธุรกิจข้าวอีกมาก กระทบต่ออุตสาหกรรมข้าวไทย ทั้งการผลิต และการค้าอย่างมหาศาล เพราะรัฐบาลยังมีความไม่แน่นอน และไม่มีมาตรการสาหรับดูแลอุตสาหกรรมข้าวเพื่อรองรับการเปิดเออีซีเลย อยากขอให้ภาครัฐสงวนอาชีพเกี่ยวกับข้าว ทั้งการค้า โรงสี ชาวนา เป็นอาชีพสาหรับคนไทย รวมถึงให้เร่งกำหนดการนาพันธุ์ข้าวเปลือกไปปลูกตามต่างประเทศ โดยอาศัยข้อกาหนดการทำคอนแทร็กฟาร์มมิ่ง เพื่อป้องกันการนำพันธุ์ข้าวไทยไปปลูกประเทศอื่น ทำให้ไทยเสียหายและไม่มีจุดขายในการแข่งขันได้ในอนาคต

นางเบญจวรรณ รัตนประยูร ที่ปรึกษาการพาณิชย์ กล่าวว่า จะนำข้อมูลหารือกับสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) เพื่อเร่งจัดทายุทธศาสตร์ส่งเสริมโดยเร็วที่สุด โดยจะมีเรื่องการกาหนดมาตรฐานข้าวแต่ละชนิดอย่างชัดเจน นอกจากนี้ ยังมีการนำปัญหาในกลุ่มสินค้าผลไม้ ท่องเที่ยว และสิ่งทอมาปรับการทำยุทธศาสตร์ด้วย
นายสมชัย จิตสุชน ผู้อานวยการสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) กล่าวว่า สินค้าส่งออกหลักใน 4 ตัวนี้ ข้าวไทยมีความท้าทายมากที่สุด ทั้งปริมาณผลผลิตต่อไร่ต่า ราคาแพงขึ้นมาก ทาให้การส่งออกข้าวไทยลดลงเรื่อยๆ 4 เดือนแรกปีนี้ (มกราคม-เมษายน) ส่งออกข้าวลดลงเกือบ 50% และเห็นว่ารัฐบาลควรจะทบทวนและปฏิรูปกฎระเบียบและนโยบายรัฐใหม่ โดยลดผลกระทบจากการแทรกแซงตลาดและสร้างทางเลือกทดแทนเชิงนโยบายเพื่อลดแรงกดดันเรื่องราคา ให้ความสาคัญกับการค้าชายแดนและประโยชน์จากการค้าเสรี เออีซี และกาหนดมาตรฐานข้าวไทยให้สามารถตอบสนองความต้องการของตลาดได้

ที่มา : มติชน

วันพุธที่ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2555

>> อีกครั้งกับ Facebook

ถึงวันนี้เราคงปฏิเสธไม่ได้ว่า Facebook ได้ครอบครองชีวิตคนไปแล้ว ไม่ว่าหัวหงอกหัวดำ เด็กน้อยและไอ้เฒ่า.....จากรอยหยักในสมองของ Mark Elliot Zuckerberg นักศึกษานอกคอกของมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ผลของความคิดที่สามารถขยี้ใจคนโดยคนไม่รู้สึกตัว....

ผ่านเรื่องการเริ่มต้นที่มากมายของการพัฒนาของ Facebook จนถึงวันวานว่า Facebook ได้อะไรตอบแทนจากกระแส Social Media ที่ถล่มทลายมนุษย์โลกขนาดนี้ และวันนี้ Facebook กระโจนเข้าสู่ตลาดหุ้น ! บริษัทมหาชน ! แล้วหนทางข้างหน้าของ Facebook !

ผู้ที่ติดตามข่าวของโลกไอที-ธุรกิจต่างประเทศ คงรับทราบข่าวการเสนอขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ (IPO) ของเฟซบุ๊กในตลาดหุ้น NASDAQ ของสหรัฐกันเป็นอย่างดีแล้ว ถึงแม้ว่าการขายหุ้นครั้งนี้จะมีปัญหามากมาย เช่น ข่าวเรื่องการรับทราบข้อมูลภายใน (insider trade) ก่อนวันขายหุ้นจริงไม่นาน, ปัญหาระบบซื้อขายหุ้นของ NASDAQ ล่มไปกว่าครึ่งชั่วโมงจึงจะขายได้, ราคาหุ้นของเฟซบุ๊กที่ตกฮวบหลังการขายหุ้น ฯลฯ แต่ทั้งหมดแล้ว การขายหุ้นครั้งนี้ก็ถือเป็นก้าวที่สำคัญของบริษัทอย่างเฟซบุ๊กในการขยายตัวเป็นบริษัทระดับโลกต่อไป
ธรรมเนียมการขายหุ้นของบริษัทไอที
ตามธรรมเนียมปฏิบัติในโลกไอทีของสหรัฐ บริษัทหน้าใหม่ที่สร้างนวัตกรรมอันโดดเด่น มักเกิดจากวัยรุ่นหรือนักศึกษาที่มีความคิดนอกกรอบ พยายามแก้ปัญหาในเรื่องต่างๆ สารพัดอย่างด้วยนวัตกรรมด้านไอที บริษัทเหล่านี้จะขอระดมทุนจากนักลงทุนหรือบริษัทลงทุน (venture capital หรือVC) เพื่อนำเงินมาใช้จ่าย (เช่น จ้างพนักงาน เช่าสำนักงาน ฯลฯ) ในช่วง1-3 ปีแรกของการตั้งบริษัทซึ่งผลิตภัณฑ์ยังไม่เสร็จและบริษัทยังไม่มีรายได้เข้ามาจุนเจือ โดยนักลงทุนจะได้หุ้นของบริษัทไปส่วนหนึ่งเป็นการตอบแทน

เมื่อบริษัทเติบโต ผลิตภัณฑ์เริ่มมีคนใช้งาน เริ่มมีรายได้เข้ามาจากการค้าขายจริงๆ เส้นทางชีวิตของบริษัทเหล่านี้สามารถแบ่งได้ 2 แบบใหญ่ๆ คือ ขายกิจการให้บริษัทอื่นที่ใหญ่กว่า (ตัวอย่างเช่น Instagram หรือ Skype) หรือไม่ก็เสนอขายหุ้นเข้าตลาดหลักทรัพย์เพื่อระดมทุนในระดับที่มากขึ้น (ตัวอย่างเช่น Google)


ไม่ว่าจะเลือกวิธีไหน นักลงทุนจะได้เงินจากการขายหุ้นที่มีอยู่ให้กับเจ้าของคนใหม่ ซึ่งหุ้นก็มีราคาเพิ่มขึ้นหลายเท่าตัวเนื่องจากบริษัทดังแล้วนั่งเอง กำไรของนักลงทุนอยู่ตรงนี้ และนักลงทุนจะนำเงินก้อนนี้ไปลงทุนในบริษัทอื่นๆ ต่อไปเป็นวัฎจักร

อินเทล ไมโครซอฟท์ แอปเปิล กูเกิล เติบโตมาจากเส้นทางนี้กันถ้วนหน้า โดยบริษัทดังๆ ที่ว่ามานี้เลือกเส้นทางเข้าขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์เพื่อระดมทุนจากมหาชน และเฟซบุ๊กก็กำลังดำเนินรอยตามในเส้นทางนี้
คงไม่มีใครปฏิเสธว่าการเกิดขึ้นของเครือข่ายสังคมออนไลน์อย่างเฟซบุ๊ก ช่วยให้ชีวิตของเราเปลี่ยนแปลงไปมาก มันเปลี่ยนวิธีการปฏิสัมพันธ์ของมนุษย์ จากเดิมที่ต้องคุยกันแบบเจอหน้าหรือแชทคุยกันในวงเล็กๆ มาเป็นโลกออนไลน์ที่เพื่อนๆ ของเราเกือบทุกคนติดต่อสัมพันธ์กันในนั้นแทน

ด้วยเหตุนี้จึงไม่น่าแปลกใจอะไรที่เฟซบุ๊ก (ซึ่งเป็นหัวหอกของเครือข่ายสังคมลักษณะนี้) กลายเป็นปรากฏการณ์ระดับ phenomenal และมีผู้ใช้งานจำนวนมากระดับหลายร้อยล้านคน (ตัวเลขล่าสุดทะลุหลักแปดร้อยล้านแล้ว และคงถึงพันล้านในไม่ช้า) เรื่องราวของมาร์ค ซัคเคอร์เบิร์ก กลายเป็นตำนาน และถูกนำมาดัดแปลงขยายเป็นภาพยนตร์เรื่อง The Social Network ออกฉายไปทั่วโลก ส่งผลให้เฟซบุ๊กโด่งดังขึ้นไปอีกในแง่วัฒนธรรมและวิถีชีวิต ไม่ใช่เรื่องไอทีเพียงอย่างเดียว
กระแสความนิยมของเฟซบุ๊กส่งผลให้การขายหุ้น IPO ของบริษัทถูกจับตาอย่างมาก และนักลงทุนจำนวนมหาศาลต่างใฝ่ฝันจะครอบครองหุ้นของเฟซบุ๊กเพื่อทำกำไรต่อในอนาคต การขายหุ้นวันแรกจึงมีคนเสนอซื้อเป็นจำนวนมากจนระบบของตลาดหุ้น NASDAQ ของสหรัฐรับไม่ไหว จนต้องเริ่มขายหุ้นช้าไปถึงครึ่งชั่วโมงจากกำหนดเดิม
โดยสรุปแล้วการขายหุ้นของเฟซบุ๊กประสบความสำเร็จดังความคาดหมาย และนี่ก็เป็นจุดเริ่มต้นของ “ตำนานบทที่สอง” ที่เฟซบุ๊กต้องเผชิญต่อไป

คำถามสำคัญ: รายได้มาจากไหน?
สิ่งที่เฟซบุ๊กเสียไปในการขายหุ้น IPO คือสถานภาพ “ดาวรุ่ง” ของบริษัทที่ทุกคนรุมล้อม ทำอะไรก็ถูกเสมอ กลายเป็นบริษัทที่ถูกตรวจสอบและตั้งคำถามเช่นเดียวกับบริษัทรุ่นพี่อื่นๆ ที่อยู่ในตลาดหลักทรัพย์ เฟซบุ๊กจะต้องถูกกำกับดูแลโดยคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์ของสหรัฐ (SEC) และถูกตรวจสอบการดำเนินการโดยผู้ถือหุ้น เฉกเช่นเดียวกับบริษัทข้ามชาติขนาดใหญ่ทั่วไป

สิ่งที่เฟซบุ๊กจะต้องตอบให้ได้ในอีก 1 ปีข้างหน้าคือ “รายได้” ของเฟซบุ๊กในฐานะองค์กรธุรกิจจะมาจากไหนบ้าง

วิธีการสร้างรายได้ของเฟซบุ๊กในปัจจุบันมาจากโฆษณาเป็นหลัก มีการขายสินค้าและเงินตราเสมือนในเกมบนเฟซบุ๊กบ้างอีกจำนวนหนึ่ง แต่ปัญหาของเฟซบุ๊กคือคนใช้เยอะจริง รายได้กลับหารเฉลี่ยออกมาต่อหัวแล้วน้อยมาก เมื่อเทียบกับบริษัทที่หากินด้วยวิธีการโฆษณาแบบเดียวกันอย่างกูเกิล

ในอีกไม่กี่ปีข้างหน้านี้ เฟซบุ๊กต้องพิสูจน์ตัวเองให้นักลงทุนเห็นว่า สามารถสร้างรายได้จากฐานสมาชิกจำนวนมหาศาลได้มากกว่านี้อีกมาก มิฉะนั้นสถานการณ์อาจพลิกผัน จากดาวรุ่งของโลกไอทีกลายเป็นบริษัทธรรมดาที่ไม่มีใครสนใจอีกต่อไป
บริษัทออนไลน์ที่เผชิญกับสถานการณ์แบบนี้มาก่อนคือกูเกิล ช่วงแรกกูเกิลทำระบบค้นหาได้ดีมีคนนิยมใช้มาก แต่กลับไม่สามารถสร้างรายได้ในจำนวนที่ทัดเทียมกัน สุดท้ายแล้วกูเกิลสามารถพัฒนาผลิตภัณฑ์โฆษณาที่อิงตามคำค้นหาชื่อ AdWords ขึ้นมาตอบโจทย์นี้ได้ และกลายเป็นผลิตภัณฑ์ยอดฮิตที่นักการตลาดทั่วโลกให้ความสนใจ (เพราะโฆษณาในสิ่งที่ตรงกับสิ่งที่ผู้ใช้กำลังหาอยู่ ทำให้ประสิทธิภาพดีกว่าการซื้อสื่อแบบเก่ามาก) ความสำเร็จของ AdWords ส่งผลให้กูเกิลกลายเป็นมหาอำนาจบนโลกอินเทอร์เน็ตได้ ทั้งในแง่จำนวนผู้ใช้และรายได้ของบริษัทที่ยั่งยืน

เฟซบุ๊กก็กำลังเดินบนเส้นทางเดียวกัน ตอนนี้ตัวผลิตภัณฑ์หลักของเฟซบุ๊กคงไม่มีข้อกังขาใดๆ แล้ว แต่ลำดับถัดไปเฟซบุ๊กต้องสร้างนวัตกรรมด้านรายได้ขึ้นมา ในลักษณะเดียวกับที่กูเกิลมี AdWords ซึ่งเป็นช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อสำคัญของบริษัทสำหรับการก้าวขึ้นไปอีกระดับ

ถ้าทำได้เฟซบุ๊กจะกลายเป็นกูเกิลรายใหม่ หรืออาจก้าวขึ้นไปได้เหนือกว่ากูเกิลด้วยซ้ำ แต่ถ้าทำไม่ได้ชะตาชีวิตของเฟซบุ๊กอาจเดินไปในเส้นทางเดียวกับยาฮู อดีตดาวรุ่งของโลกไอทีที่ปัจจุบันนี้แทบไม่มีใครสนใจอีกแล้ว

ก้าวต่อไปของผลิตภัณฑ์
ในส่วนของผลิตภัณฑ์เองก็มีความสำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน (เพียงแต่ประเด็นเรื่องรายได้จะถูกจับตาจากนักลงทุนมากกว่า) ตัวผลิตภัณฑ์หลักของเฟซบุ๊กคือระบบเครือข่ายสังคม ถือว่าค่อนข้างนิ่งพอสมควรแล้ว และเทียบกันในท้องตลาดเรียกได้ว่าไร้คู่แข่งที่น่ากลัว เฟซบุ๊กจะต้องรีบฉกฉวยโอกาสที่มีฐานผู้ใช้มาก คู่แข่งน้อย และมีเงินสดในมือจากการขายหุ้นมาก รีบขยายสายผลิตภัณฑ์ของตัวเองให้มากขึ้นตามมา

เฟซบุ๊กเองก็รู้เรื่องนี้ดี และเริ่มขยับขยายสายธุรกิจออกมายังอุปกรณ์พกพา ซึ่งเป็นตลาดที่เฟซบุ๊กยังทำได้ไม่ดีนัก ตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุดคือการเข้าซื้อแอพถ่ายภาพมือถือ Instagram ด้วยมูลค่าสูงถึง 1 พันล้านดอลลาร์ นอกจากนี้เฟซบุ๊กยังพยายามรุกเข้ามายังตลาดการสื่อสารโดยออก Facebook Messenger แอพสนทนาบนมือถือลักษณะเดียวกับ WhatsApp หรือ LINE เข้ามาร่วมชิงส่วนแบ่งตลาดด้วย (แต่ยังไม่ประสบความสำเร็จมากนัก)

ยุทธศาสตร์ด้านผลิตภัณฑ์ของเฟซบุ๊กจะอยู่บนฐานคิดว่า “ทำอย่างไรคนจะเข้ามาใช้เครือข่ายสังคมให้มากที่สุด” จากเดิมที่คนใช้ผ่านเบราว์เซอร์บนคอมพิวเตอร์ เฟซบุ๊กต้องหาช่องทางอื่นๆ ให้เข้ามาใช้ผลิตภัณฑ์ของตัวเองให้มากขึ้น

วิธีคิดแบบนี้เป็นวิธีคิดแบบเดียวกับกูเกิล (และเฟซบุ๊กเองก็มีอดีตพนักงานของกูเกิลอยู่เป็นจำนวนมาก) ดังนั้นไม่น่าแปลกใจอะไรที่เราเห็นกูเกิลเดินหน้าขยับขยายตัวเองออกจากเว็บค้นหา เข้ามาทำเว็บเบราว์เซอร์ Chrome, ระบบปฏิบัติการมือถือ Android และระบบปฏิบัติการ Chrome OS ด้วย เพราะเป้าหมายของกูเกิลคือการเพิ่มจำนวนผู้ใช้เว็บกูเกิล และต้องการควบคุมช่องทางการใช้งานให้อยู่ในมือของตัวเองให้หมดนั่นเอง (ถ้ากูเกิลพึ่งพาผู้ผลิตเบราว์เซอร์หรือมือถือรายใดรายหนึ่งมากเกินไป จะทำให้เสียความสามารถในการต่อรองไป)

ทิศทางการพัฒนาผลิตภัณฑ์ของเฟซบุ๊กในอนาคต จึงมีความเป็นไปได้สูงว่าจะเดินรอยตามกูเกิล ในการออก Facebook Phone หรือ Facebook Browser เพื่อควบคุมช่องทางการเข้าถึงบริการออนไลน์ในลักษณะเดียวกัน เพียงแต่จังหวะเวลาการเดินหน้าตามยุทธศาสตร์เหล่านี้จะเป็นเมื่อไรเท่านั้นเอง?

ที่มา : SIAM INTELLIGENCE
เรื่องที่เกี่ยวข้อง : สำนักงานของ Facebook และ Google

>> เรื่องของผู้หญิงกับความคาดหวังของวงการไอที "Girls Who Code" องค์กรเพื่อผู้หญิงในวงการไอที

ช่วงแรกๆ นี้ จะขอนำแสดงก่อน แสดงให้เห็นความหลากหลายของข้อมูลข่าวสารที่เกี่ยวข้องกับวงการสหกรณ์ หลังจากนี้สักพักเพื่อนพ้องน้องพี่ทั้งหลายต้องโซโลเองแล้วครับ......พี่น้องทั้งหลาย ตลอดเวลาที่ผ่านมาพวกเราก้มหน้าก้มตาอยู่กับตัวเองมาตลอด ลองหันหน้ามาแลกเปลี่ยนเรียนรู้กัน แล้วจะรู้ว่าพวกเรามีอะไรตั้งมากมายที่ต้องทำ น่าทำ น่าลองดูสักตั้ง แน่นอนครับ เรื่องยากจะกลายเป็นเรื่องง่ายๆ อย่างไม่เคยคิดมาก่อน....ไม่เชื่อลองถามวังเจ้ากับเมืองดูซิครับ......
โดบส่วนตัวอยู่กับคอมพิวเตอร์ตัวแรกที่ใช้ CPU เบอร์ 386 SX เบอร์ 486 DX นั้นโคตรอลังการไกลเกินฝันเลยละตั้งสามหมื่นกว่าถึงสี่หมื่นกว่า....ตั้งแต่ระบบปฏิบัติการ DOS 4 เมื่อ DOS 5 ตกมาถึงมือถึงกับสั่นเชียวละ.....ก็อยู่ในวงการมานาน....พบเจอหมด...เด็กใหม่ ชายหญิง.....ขาเก๋า เขี้ยวลากดิน....เ้ซียนกรุงเทพ.....พูดออกมาเป็นปืนกล เราเซ่อรับประทานไปเป็นเดือน......
ถึงวันนี้เจอข่าวเรื่องผู้หญิงกับวงการไอที.....แล้วมันเกี่ยวกับสหกรณ์อย่างไร...ที่ว่ามา......วันนี้ในสหกรณ์เรามีคอมพิวเตอร์รอบตัว.....และรอบตัวเราล้วนแต่เป็นผู้หญิง......และวันนี้เราย้อนเวลา แกะตัวเราเองออกจากคอมพิวเตอร์ไม่ได้แล้ว......องค์กรของเราก็มีผู้หญิงเป็นส่วนใหญ่.......แล้วผู้หญิงกับเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์จะมีช่องทางผลักดันองค์กรเราไปสู่องค์กรชั้นได้อย่างไร......ในสายตาสังคมโลก....!
ท่ามกลางองค์กรสำหรับผู้หญิงในสหรัฐจำนวนมาก แต่มีอยู่องค์กรหนึ่งที่กำลังเป็นข่าวดังใน Wall Street Journal และ New York Times คือองค์กรชื่อเก๋ว่า "Girls Who Code" ที่ก่อตั้งขึ้นเพื่ออบรมและจุดประกายกลุ่มวัยรุ่นผู้หญิง ให้เก่งเขียนโปรแกรมไม่น้อยไปกว่าพวกผู้ชาย
เป็นที่รู้กันว่าบริษัทไอที โดยเฉพาะบริษัทที่ก่อตั้งใหม่มักจะมีจุดเริ่มมาจากผู้ชาย และพนักงานส่วนใหญ่ก็เป็นผู้ชาย ส่งผลให้บริษัทหลายแห่งอย่าง Twitter, General Electric, Google และ eBay ประกาศให้การสนับสนุน Girls Who Code โดยหวังว่าความพยายามจากจุดเล็กๆ จะก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในวงกว้างได้
Girls Who Code ก่อตั้งโดย Reshma Saujani อดีตกลุ่มอาสาสมัครในนิวยอร์ก เธอให้เหตุผลดีๆ ในการก่อตั้งองค์กรดังนี้

     1. ผู้หญิงเป็นเพศที่ใช้เทคโนโลยีสูงมาก แต่กลับมีจำนวนผู้หญิงในวงการไอทีน้อยนิด

     2. ผู้หญิงใช้อินเทอร์เน็ตมากกว่าผู้ชาย 17%

     3. 2 ใน 3 ของเนื้อหาออนไลน์ถูกสร้างโดยผู้หญิง

     4. ตามสถิติบริษัทไอทีที่มีผู้หญิงในตำแหน่งบริหารจะได้ผลการลงทุนมากกว่าเดิม 34%

     5. บริษัทที่มีผู้หญิงในทีมเทคนิคจะช่วยให้เพิ่มประสิทธิภาพในการแก้ปัญหาและมีความคิดสร้างสรรค์ที่ดีขึ้น (บริษัทนะครับไม่ใช่องค์กรราชการ...นั่นเขาทำเพื่อตอบสนองความพึงพอใจของเจ้านายเท่านั้น.....)
Girls Who Code มีการสอนกลุ่มวัยรุ่นผู้หญิงหลากหลายด้าน ทั้งการเขียนโปรแกรม, สร้างเว็บไซต์, การเริ่มต้นธุรกิจของตัวเองและวิทยาการด้านหุ่นยนต์ นอกจากนี้ยังได้กลุ่มวิศวกรผู้หญิงในบริษัทไอทีชื่อดังหลายแห่ง ยื่นมือเข้ามาเป็นที่ปรึกษาให้กับเด็กๆ อีกด้วย

ที่มา : Girls Who CodeWall Street JournalThe New York Times

>> วิกฤติเศรษฐกิจที่ยุโรปยังไม่จบสิ้ิน...ไซปรัสยื่นขอรับความช่วยเหลือจากอียูเป็นรายที่ห้า

ยุโรปที่มั่งคั่งมาแต่โบราณ เพื่อความมั่นคงทางเศรษฐกิจได้มีการรวมตัวกันเป็นสหภาพยุโรป -อียู แน่นอนมันคือตลาดขายสินค้าใหญ่แห่งหนึ่งของไทย

มันใหญ่ขนาดบริษัทอาหารใหญ่ๆ ของไทยที่ไม่มีสินค้าขายในยุโรปเลย ส่งขายเฉพาะในเอเชีย ต้องไปขอร่วมงานแสดงสินค้าและอาหาร เพื่อการยกระดับตราสินค้าของตัวเองในตลาดเอเชีย  เอาสินค้าไปชุบตัวที่งานแสดงอาหารที่ยุโรป !


แต่ช่วงหลังๆ นี้ สมาชิกอียู หลายประเทศมีปัญหาทางเศรษฐกิจ ต้องได้รับการช่วยเหลือโดยด่วน ไม่เช่นนั้นประเทศจะล้ม ! แล้วจะพาให้ประเทศอื่นๆ เดือดร้อนไปด้วย ต้องช่วยนะครับ แต่การช่วยเหลือนั้นมันก็ต้องมีเงื่อ่นไขเป็นธรรมดา เริ่มต้นด้วย สาธารณรัฐไอร์แลนด์ โปรตุเกส 
สเปน และกรีซ บัดนี้ข่าวล่าสุดบอกว่า ต้องหาทางช่วยเหลืออีกแล้ว ไซปรัส


ไม่ต้องคิดอะไรมากมาย....คิดว่าย่อส่วนประเทศเป็น สหกรณ์ ก็แล้วกัน อ้าวก็สหกรณ์ยังพึ่งพาเงินทุนจากภายนอกอยู่ไม่ใช่หรือ เงินทุนไม่พอเพียง กระแสเงินสดฝืดเคือง สุดท้ายที่ส่งผลกับการให้บริการสมาชิก (เฉพาะสหกรณ์ในภาคการเกษตรนะครับ สหกรณ์นอกภาคการเกษตรก็อีกภาพหนึ่งครับ)
ประเทศไซปรัสได้กลายเป็นประเทศที่ห้าที่ยื่นขอรับความช่วยเหลือทางการเงินจากสหภาพยุโรป จากปัญหาเศรษฐกิจของประเทศที่ได้รับผลกระทบจากปัญหาเศรษฐกิจของกรีซ

ไซปรัสนั้นมีความใกล้ชิดกับกรีซซึ่งเป็นประเทศเพื่อนบ้านอย่างมาก โดยรัฐบาลไซปรัสนั้นแถลงว่าไซปรัสจำเป็นต้องขอรับความช่วยเหลือจากปัญหาผลกระทบที่เกิดขึ้นมาจากภาคการเงินของไซปรัสที่มีความเกี่ยวเนื่องกับเศรษฐกิจของกรีซอย่างมาก โดยธนาคารของไซปรัสนั้นถือครองพันธบัตรรัฐบาลของกรีซ และปล่อยกู้ให้กับธุรกิจของไซปรัสที่ได้รับผลกระทบจากวิกฤติเศรษฐกิจของกรีซ โดยกรีซนั้นเป็นประเทศคู่ค้ารายใหญ่ที่สุดของไซปรัส

ปริมาณความช่วยเหลือนั้นยังไม่มีการตกลงกัน โดยเจ้าหน้าที่ของคณะกรรมาธิการยุโรปและธนาคารกลางยุโรปจะพิจารณาว่าความช่วยเหลือจะเป็นเท่าใด แต่เป็นไปได้ว่า ปริมาณความช่วยเหลืออาจอยู่ที่หนึ่งหมื่นล้านยูโร ซึ่งมากกว่าครึ่งของขนาดเศรษฐกิจของไซปรัส

ปัจจุบันไซปรัสได้กู้เงินจากรัสเซียไปแล้ว 2.5 พันล้านยูโร และไซปรัสจะต้องหาเงิน 1.8 พันล้านยูโร (ราวหนึ่งในสิบของจีดีพี) ภายในเร็วๆ นี้ เพื่อเพิ่มทุนให้กับธนาคารอันดับสองของประเทศ

ไซปรัสเพิ่งถูกลดอันดับเครดิตจากฟิตซ์เข้าสู่ระดับขยะเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา ทำให้ตอนนี้ทั้งสามสถาบันจัดอันดับหลัก ต่างประเมินเครดิตภาครัฐของไซปรัสอยู่ในระดับขยะทั้งหมด ทำให้เป็นเรื่องยากมากที่ไซปรัสจะสามารถระดมทุนด้วยตัวเองได้ 

ที่มา - BBC NewsFinancial TimesReuters

ข้อมูลเพิ่มเติม
สาธารณรัฐไซปรัส Republic of Cyprus

ที่ตั้ง อยู่ในทวีปยุโรปใต้ เป็นเกาะที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับ ๓ ในทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ห่างจากทางตอนเหนือของอียิปต์ ๒๔๐ ไมล์ ห่างจากตะวันตกของซีเรีย ๖๔ ไมล์ ห่างจากทางใต้ของตุรกี ๔๔ ไมล์ และห่างจากเกาะ Rhodes และเกาะ Carpathos ทางตะวันออกเฉียงเหนือของกรีซ ๒๔๐ ไมล์

พื้นที่ ๙,๒๕๑ ตารางกิโลเมตร แต่อยู่ในการครอบครองของไซปรัสตุรกี 3,355 ตาราง กิโลเมตร หรือคิดเป็นร้อยละ ๓๖ ของพื้นที่ทั้งหมด

เมืองหลวง นิโคเซีย (Nicosia) ซึ่งถูกแบ่งออกเป็น ๒ ส่วนหลังจากการยึดครองส่วนเหนือของเกาะไซปรัสในปี ๒๕๑๗

ประชากร ๗๘๔,๓๐๑ คน เป็นเชื้อสายไซปรัสกรีกประมาณ ๕ แสนคน และไซปรัสตุรกีประมาณ ๒ แสนคน โดยอาศัยอยู่ในดินแดนสาธารณรัฐไซปรัส ๖๕๕,๐๐๐ คน และอยู่ในดินแดนไซปรัสตอนเหนือ ๑๘๒,๐๐๐ คน 

ภูมิอากาศ เมดิเตอร์เรเนียน เดือนที่อากาศร้อนและแห้งแล้งที่สุด คือ เดือนกรกฎาคม เดือนที่อากาศเย็นที่สุดและมีฝนตกมากที่สุด คือ เดือนมกราคม 

ภาษาราชการ กรีก ตุรกี 

ศาสนา คริสต์นิกายไซปรัสออร์โธด็อกซ์ ร้อยละ ๗๘ มุสลิมนิกายสุหนี่ ร้อยละ ๑๘ นอกจากนี้ ยังมีคริสต์นิกายมาโรไนต์ นิกายโรมันคาทอลิก และนิกายอาร์มาเนียนออร์โธดอกซ์อีกด้วย

วันชาติ ๑ ตุลาคม

หน่วยเงินตรา ยูโร โดย ๑ ยูโร = ๔๗.๑๕ บาท (ณ วันที่ ๒๐ ม.ค. ๒๕๕๓)

ภูมิหลัง 
๒๕๐๓ ได้รับเอกราชจากสหราชอาณาจักร 
๒๕๑๗ เกิดความขัดแย้งระหว่างชาวไซปรัสเชื้อสายกรีกและชาวไซปรัสเชื้อสายตุรกี โดยชาวไซปรัสเชื้อสายกรีกมีอำนาจรัฐบาล แต่ได้รับการแทรกแซงจากประเทศตุรกี ทำให้เกิดการแบ่งแยกเป็นไซปรัสกรีกและไซปรัสตุรกี ซึ่งต่อมาไซปรัสตุรกีได้ควบคุมพื้นที่ ๓๖.๒% ของเกาะไซปรัส 
๒๕๒๖ ไซปรัสตุรกีพยายามสถาปนาตนเองขึ้นเป็นรัฐ เรียกพื้นที่ในการครอบครองว่า “Turkish Republic of Northern Cyprus” (TRNC) แต่ได้รับการรับรองจากรัฐบาลตุรกีแต่เพียงฝ่ายเดียว 
๒๕๔๕ สหประชาชาติได้ดำเนินความพยายามให้ไซปรัสกรีกและไซปรัสตุรกีเจรจาเพื่อการรวมประเทศ

การเข้าเป็นสมาชิกของสหภาพยุโรป
ไซปรัสได้ลงนามความตกลงเข้าเป็นสมาชิกสหภาพยุโรปเมื่อวันที่ ๑๖ เมษายน ๒๕๔๖ ณ กรุงเอเธนส์ ประเทศกรีซ ในช่วงที่ประเทศกรีซดำรงตำแหน่งประธานสหภาพยุโรป และไซปรัสได้เข้าเป็นสมาชิกสหภาพยุโรปอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ ๑พฤษภาคม ๒๕๔๗ โดยรัฐบาลไซปรัสได้เน้นย้ำถึงการแก้ไขปัญหาการแบ่งแยกระหว่างไซปรัสกรีกและ ไซปรัสตุรกี และรัฐบาลไซปรัสจะทบทวนนโยบายและกำหนดมาตรการต่อชาวไซปรัสตุรกีให้ได้รับ สิทธิประโยชน์จากการเข้าเป็นสมาชิกสหภาพยุโรปของไซปรัส อาทิ มาตรการด้านการเคลื่อนย้ายสัญจร โอกาสในการรับจ้างงาน โอกาสด้านมนุษยธรรม และวัฒนธรรมต่างๆ เป็นต้น 

เศรษฐกิจการค้า
ดัชนีทางเศรษฐกิจที่สำคัญ (ปี ๒๕๕๒)

ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ ๒๒.๘๕ พันล้านดอลลาร์สหรัฐ 

รายได้เฉลี่ยต่อหัว ๒๑,๒๐๐ ดอลลาร์สหรัฐ 

อัตราการเติบโตของ GDP ร้อยละ -๐.๘ 

อัตราเงินเฟ้อ ร้อยละ ๐.๓

สินค้าส่งออก เภสัชกรรม ซีเมนต์ เสื้อผ้า ยาสูบ

ประเทศคู่ค้าที่สำคัญในการส่งออก อังกฤษ ๒๔.๔% ฝรั่งเศส (๑๑%) เยอรมนี (๗.๒%) กรีซ (๖.๔%)

สินค้านำเข้า สินค้าอุปโภคบริโภค ปิโครเลียม เครื่องจักร

ประเทศคู่ค้าที่สำคัญในการนำเข้า รัสเซีย (๓๖.๓%) กรีซ (๖.๕%) อังกฤษ (๕.๓%) เยอรมนี (๕.๒%) อิตาลี (๕.๑%) ฝรั่งเศส (๔.๘%)

ทรัพยากรธรรมชาติที่สำคัญ ทองแดง ไพไรท์ (ธาตุใช้ในการผลิตกรดซัลฟูริค) เส้นใย ไฟเบอร์ธรรมชาติ (ใช้กันไฟ) ยิบซั่ม ไม้ เกลือ หินอ่อน

อุตสาหกรรมหลัก อุตสาหกรรมเกี่ยวกับแร่และซิเมนต์ การก่อสร้าง เคมีภัณฑ์ สิ่งทอ ผลิตภัณฑ์รองเท้า อาหาร เครื่องดื่ม ยาสูบ

ที่มา : http://www.thaiembassy.it

>> คนเคยรักกัน


จึงเรียนมาด้วยความไม่เคารพศาลแห่งสี
โดย กวีศรีประชา วิสา  คัญทัพ

ขอเรียนศาล เลือกข้างสี ที่ไม่เคารพ
สีไม่ครบ เพราะถูกใช้ เติมใส่สี
ไประบาย เลือดไพร่ หาไม่ดี
สาดกระสุนส่องวิถีดับชีวิต
สีแดงคือเลือดมหาประชาชน
ผู้ทุกข์ทนคนไทยผู้ไร้สิทธิ์
ใช่คนปล้นสีไปไร้ความคิด
เขาถูกปลิดชีพเชือดจนเลือดริน
กระหายดื่มสีแดงแห่งเลือดข้น
จึงไล่ยิงกลางถนนคนใจหิน
เนาวรัตน์ สุรชัย ไม่ได้ยิน
จึงลืมดิน ไม่มีใจ ให้สีแดง
เรื่องราวจะเป็นอย่างไร.....โปรดติดตามต่อไป.....คนเคยรักกันคงมีอีกหลายคู่......

วันอังคารที่ 26 มิถุนายน พ.ศ. 2555

>> Facebook อีกแล้ว...Friendthem เตรียมฟ้อง Facebook ขโมยไอเดียทำ Find Friends Nearby


ขำว่ะ....ทำไมไม่เปลี่ยนคำว่า Nearby... เป็นคำอื่นที่ตรงกันวะ....เต็มๆ...

Friendthem เตรียมฟ้อง Facebook หลังจากที่เพิ่งปล่อยฟีเจอร์ Find Friends Nearby ได้ไม่นาน โดยอ้างว่าขโมยแนวคิดของตนเอง

Friendthem เป็นแอพสำหรับการขอเป็นเพื่อนบน Facebookดยใช้ Location Service เข้ามาช่วยในการหาบุคคลที่อยู่ใกล้ตัวเรา แก้ปัญหาความสับสนจากการที่ผู้ใช้งานมีชื่อซ้ำกันหลายคน มีทั้งบน iOS และ Android

Charles Sankowich ซีอีโอของ Friendthem อ้างว่าในเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมานั้น ตนเองได้บอกไอเดียนี้กับผู้บริหารระดับสูงของ Facebook และได้รับคำตอบว่า "I really like this idea." แต่ทาง Facebook เองก็ปฏิเสธว่าไอเดียนี้ได้มาจากงาน Hackathon ภายในบริษัทเอง ซึ่งในตอนแรกใช้ชื่อว่า Friendshake

ทนายความของ Friendthem กล่าวว่า เมื่อได้รับการยืนยันข้อมูลที่มีอยู่ก็จะทำการฟ้องร้องทันที

ที่มา - Mashable
facebook-mobile-app-600
Friendthem Plans to Sue Facebook for ‘Find Friends Nearby’ Feature

Mobile app Friendthem has announced its intentions to sue Facebook for its just-launched mobile feature, Find Friends Nearby, if it confirms certain “information.”

CEO of Friendthem Charles Sankowich says he told a senior Facebook executive about his idea in February, to use smartphones’ GPS signal to track friends and potential new friends nearby.

“Friendthem is something special and we could be one of the most important apps for Facebook in a long time,” Sankowich told Mashable. “When the world understands how important our message is, Friendthem could be one of the most important apps out there, so I don’t know why they’re going around us to do this.”

Following his dinner with the Facebook executive who Sankowich declined to name, the Friendthem CEO says the Facebook executive said, “I really like this idea.”

Though Facebook says the idea came from a company hackathon and was originally called Friendshake, Sankowich doesn’t believe the claim.

SEE ALSO: Facebook’s Facial-Recognition Acquisition Raises Privacy Concerns
“They have to know about Friendthem unless they’ve had their heads in the sand,” he says. “We’re relevant, we’re necessary and we’re fun.”

Friendthem’s attorney Les Apple told Mashable, “We will proceed with a lawsuit as soon as we confirm the information we have, but we don’t want to do things irresponsibly.”

Available for Android and iOS, Friendthem connects to your Facebook account to find people near you. You can chose what information, such as your name, profile picture, hometown, or nothing at all, you would like to share.

According to its website, “Friendthem is a location-based mobile app designed to help you make connections with people near you. Use the Friendthem app to follow up on missed connections for work and personal.”

Sankowich trademarked the term Friendthem in early 2011, half a year after launching. He has three additional trademarks pending for the slogans, “life happens, people connect;” “life happens when you connect;” and “you never know what a friend request can lead to.”

Does Find Friends Nearby sound too similar to Friendthem? Let us know what you think.

>> กสทช. ออกหนังสือสั่งห้ามจำหน่ายโทรศัพท์มือถือหลายรุ่นในราชอาณาจักร

NBTC

ข่าวสั้นครับ แต่สะเทือนวงการโทรศัพท์มือถือในตลาดกลาง (Mid-End) ของบ้านเราเลยทีเดียว เพราะเมื่อวันที่ 20 มิถุนายนที่ผ่านมา กสทช. ได้มีมติในการเพิกถอนใบอนุญาตในการจำหน่ายอุปกรณ์สื่อสารจำนวน 280 แบบ (คลิกเพื่อดูรายชื่อรุ่นที่โดนได้ครับ) โดยลงความเห็นว่า ไม่ได้มีการรับรองอย่างเป็นมาตรฐานจากต่างประเทศ รวมทั้งแก้ไข เปลี่ยนแปลง ลดทอน แต่งเติมเนื้อหาหรือข้อมูลในรายงานผลการทดสอบ ให้ผิดแผกจากรายงานผลการทดสอบต้นฉบับ
ทั้งนี้ทั้งนั้นผู้ที่ใช้งานโทรศัพท์รุ่นดังกล่าว ยังคงสามารถใช้งานโทรศัพท์ดังกล่าวได้ตามปกติ โดยได้รับการยกเว้นใบอนุญาตวิทยุคมนาคมที่เกี่ยวข้อง เพราะประกาศนี้มีผลแค่การจำหน่าย และนำเข้าอุปกรณ์ดังกล่าวเท่านั้นครับ

ที่มา :  blognone.com

>> กรรมการพรรคพลังสหกรณ์เริ่มประชุมกันแล้ว

วันนี้....พรรคพลังสหกรณ์เริ่มประชุมบ่ายโมงที่ สกก.คลองขลุง จำกัด

>> -ข่าวบนสังคมออนไลน์....นาซ่าเผย ดาวเคราะห์ 55 ล้านตันอาจพุ่งชนโลกใน พ.ย. นี้

นาซ่าคาดดาวยักษ์พุ่งชนโลกในเดือน พ.ย.นี้
นาซ่าเผยข้อมูลล่าสุด  ดาวเคราะห์ขนาดมหึมาหนัก 55 ล้านตัน อาจพุ่งชนโลกในพ.ย. ความรุนแีรงเทียบเท่าปรมาณู 65,000 ลูก

สำนักข่าวต่างประเทศ (6 พ.ค.) อ้างได้รับการเปิดเผยข้อมูลล่าสุดจากองค์การนาซ่า โดยรายงานระบุว่าผู้เชี่ยวชาญของนาซ่าได้มีการทำนายว่า ดาวเคราะห์ขนาดมหึมา มีขนาดความกว้าง 1,300 ฟุต หนัก 55 ล้านตัน กำลังเคลื่อนตัวเข้ามาใกล้และอาจพุ่งชนโลกได้ราวเดือนพฤจิกายน ปลายปีนี้

ทั้งนี้ ยังรายงานยังบอกอีกว่า ถ้าหากไม่ชนโลกอาจจะแค่เฉียดแบบระยะเผาขนด้วยระยะห่างเพียง 201,700 ไมล์ นับว่าเป็นการเคลื่อนเ้ข้ามาใกล้กว่าดวงจันทร์ และดาวเคราะห์ที่ห่างราว 238,857-248,725 ไมล์

ดาวเคราะห์ดวงดังกล่าว มีชื่อว่า YU55 โคจรรอบดวงอาทิตย์ทุก ๆ 14 เดือน สามารถมองเห็นเป็นขนาดเล็กด้วยกล้องดูดาวเทเลสโคป และถ้าเป็นอย่างที่ผู้เชี่ยวชาญของนาซ่าได้กล่าวไว้ประมาณวันที่ 8 พ.ย.54  ดาวเคราะห์ดวงนี้อาจสร้างความหายนะครั้งร้ายแรงไ้ด้หากพุ่งชนโลก ตามคำทำนาย เพราะระดับความรุนแรงนั้นจะเทียบเท่ากับระเบิดปรมาณู 65,000 ลูก แรงปะทะอาจส่งผลให้เกิดหลุมลึก 2,000 ฟุต กว้าง 6 ไมล์

ที่มา : sanook.com, : ไทยรัฐ  : MThai News   : The SUN 

2055 YU55 เป็นดาวเคราะห์ยักษ์ มีขนาดความกว้าง 1,300 ฟุต (400 เมตร) น้ำหนัก 55 ล้านตัน ถูกค้นพบโดย Spacewatch ที่มหาวิทยาลัย Arizona เมื่อ 28 ธันวาคม 2005  (เวลาเรียกก็เลยมีชื่อปีนำหน้า) จัดเป็นเทหวัตถุประเภท PHAs (Potentially Hazardous Asteriods) คือมีวงโคจรที่ “เฉียด” โลกมาก (NEOs - Near Earth Object) และมีวงโคจรรอบดวงอาทิตย์ทุกๆ 14 เดือนจะโคจรผ่านเข้าใกล้โลกในระยะ 201,700 ไมล์ ซึ่งใกล้กว่าตอนที่พระจันทร์ใกล้โลกในรอบ 19 ปี เมื่อ 19 มีนาคม เสียอีก (ระยะห่าง 238,857 ไมล์)

PHAs นั้นเป็นคำที่ NASA ใช้สำหรับเรียกดาวเคราะห์น้อยที่อาจมีอันตรายต่อโลก เพราะมีเส้นทางโคจรของดวงดาวตัดกับวงโคจรของโลก (MOID - Minimum Orbit Intersection Distiance) ระยะทางตั้งแต่ 0.05 AU (7,480,000 กม.) ลงมา และมีขนาดเกินกว่า 150 เมตร (500 ฟุต) ซึ่งตอนนี้มีบันทึกในฐานข้อมูลแล้วพันกว่ารายการ

หน่วยเรียกระยะทางว่า AU กับ LD โดย AU ก็คือระยะห่างระหว่าง โลกกับดวงอาทิตย์ (1 AU = 149,598,000 กม.) และ LD ก็คือระยะห่างระหว่างโลกกับดวงจันทร์ (1 LD = 384,401 กม.)

แต่จากที่ผ่านมา ยังไม่เคยมีรายงานเรื่องการเข้าชนของดาวเคราะห์น้อยในระยะ 0.5 LD และก็มีดาวเคราะห์น้อยหลายดวงที่โคจรผ่านมาในรัศมีที่ใกล้กว่านี้อีก  เพียงแต่ว่ามันมีขนาดแค่ 10-20 เมตร ก็เลยไม่ค่อยมีอะไรหวือหวา

นักดาราศาสตร์ชั้นนำหลายคนบอกว่าไม่มีอะไรน่าห่วง และเป็นช่วงเวลาที่นักดาราศาสตร์สมัครเล่นหรือคนที่สนใจจะได้ส่องกล้องดูดาวเคราะห์น้อยในระยะใกล้ด้วย 
  
การที่วงโคจรของพวกดาวเคราะห์น้อยพวกนี้จะเบี่ยงเบนออกนอกทาง ก็เพราะผลกระทบจากพวกแรงดึงดูด ซึ่งที่ผ่านมาจะพบกับดาวเคราะห์น้อยที่มีขนาดเล็กไม่เกิน 100 เมตร และมีลักษณะออกแนวแท่งๆ ก็เลยเป๋ได้บ้าง 

เฮ้ย...หากมันมาชนจริงๆ ทำไง.....ก็แค่โชคดีที่ตายก่อน...หากไม่ตายก็โชคดีที่ชีวิตได้อยู่ในช่วงการเปลี่ยนแปลงของโลก...แต่สุดท้ายก็ตายอยู่ดี.....

The SUN  (มีบางคนให้ฉายาว่าสำนักมั่วข่าว)
By PAUL SUTHERLAND
Published: 05 May 2011

A GIANT asteroid heading towards Earth will just miss us in November, Nasa experts predicted last night.
The space rock is 1,300ft wide and weighs 55million tons — the largest object ever to approach our planet so close.
It will pass at a distance of 201,700 miles — described by an astronomer as “a cosmic hair’s breadth”.
That is closer than the Moon, which orbits 238,857 miles away on average.
The asteroid, called YU55, is officially labelled a Potentially Hazardous Object.
If it did hit Earth, it would have the force of more than 65,000 atomic bombs, blasting a crater six miles wide and 2,000ft deep.
It orbits the sun every 14 months. But experts are confident it will not collide with us within 100 years.
YU55 will be visible with small telescopes around November 8.
Robin Scagell, of the Society for Popular Astronomy, said: “It’s rare we get the chance to see an asteroid up close.”

วันจันทร์ที่ 25 มิถุนายน พ.ศ. 2555

>> เปิดตัวแล้ว "พรรคพลังสหกรณ์"

“พรรคพลังสหกรณ์” ชื่อย่อภาษาไทยว่า “พ.พส” 
ใช้ชื่อภาษาอังกฤษว่า “ COOPERATIVE POWER PARTY” 
ชื่อย่อภาษาอังกฤษว่า “CO.P” 
 เว็บไซท์ http://www.cop.or.th

ได้รับการจดแจ้งการจัดตั้งพรรคการเมือง ชื่อพรรคพลังสหกรณ์ มาตรา ๑๓ แห่งพระราชบัญญัติ ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ.๒๕๕๕ ไว้ในทะเบียนพรรคการเมือง เลขที่ ๒/๒๕๕๕ ตั้งแต่วันที่ ๒๐ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๕ สำนักงานใหญ่พรรค ตั้งอยู่ที่ เลขที่ ๓๓๓/๓ หมู่ ๔ ต.เชียงทอง อ.วังเจ้า จ.ตาก ๖๓๐๐๐ โทร.๐๘๑-๑๑๕๑๕๕๑ โทรสาร. ๐๕๕-๗๘๑๕๒๕

ในเบื้องต้นเครือข่ายสหกรณ์ในเขตภาคเหนือตอนล่าง ได้มีอุดมการณ์ร่วมกัน จุดประกาย และจดจัดตั้งพรรคการเมือง โดยคัดเลือกจากสหกรณ์ต่างๆ และผู้มีอุดมการณ์เดียวกันกับสหกรณ์ จำนวน 15 ท่าน เป็นผู้บริหารชุดก่อตั้ง เสมือนเป็นการเริ่มต้น START สร้างถนนทางเดินของพี่น้องเครือข่ายสหกรณ์ ที่จะร่วมทางกันไปเพื่อมาร่วมช่วยกัน กำหนดนโยบายการบริหารงานของประเทศ งานด้านสหกรณ์ งานด้านสังคม งานด้านการศึกษา งานด้านเศรษฐกิจ โดยขอเชิญชวนพี่น้องขบวนการสหกรณ์ทุกประเภท ทั่วประเทศไทย เป็นสมาชิกพรรคพลังสหกรณ์ และมาพิจารณาโดยร่วมประชุมใหญ่พรรคพลังสหกรณ์ ในช่วงไตรมาสที่ 4/2555 (โดยข้อบังคับพรรคการเมือง กำหนดไว้ว่าต้องมีสมาชิกขั้นต่ำ 5,000 คน มีสาขาพรรคครบทุกภาค) เพื่อคัดเลือกผู้นำของพรรค และกรรมการบริหารพรรค /ประธานสาขาพรรค และกรรมการสาขาพรรค /กรรมการฝ่ายต่างๆ เพื่อมาทบทวนและร่วมกันกำหนดนโยบายของพรรคพลังสหกรณ์ ให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อพี่น้องขบวนการสหกรณ์ และประชาชนทั่วไป ในขณะที่เริ่มต้นดำเนินการกิจกรรมของพรรคพลังสหกรณ์ นั้น ชุดก่อตั้งที่ต้องทำงานหนัก เป็นผู้บุกเบิก คือต้องออกประชาสัมพันธ์ และเชิญชวนพี่น้องครือข่ายสหกรณ์ มาร่วมกันเป็นสมาชิกของพรรคพลังสหกรณ์ และมาร่วมกันคัดเลือกคณะกรรมการของพรรค แนะนำขั้นตอนการจัดตั้งสาขาพรรค รับสมัครสมาชิกพรรคพลังสหกรณ์ เริ่มต้นดำเนินกิจกรรมพรรคพลังสหกรณ์ มีอยู่ด้วยกัน จำนวน 25 ท่าน ดังมีรายละเอียดดังต่อไปนี้.

นายสมเกียรติ โสภณพงศ์พิพัฒน์ (ผู้จัดการสหกรณ์ชาวนาวชิระบารมี จำกัด จ.พิจิตร) หัวหน้าพรรคพลังสหกรณ์
นายตรีวิชัย กอสี (ผู้จัดการสหกรณ์การเกษตรวิเชียรบุรี จำกัด จ.เพชรบูรณ์ ) รองหัวหน้าพรรค
นายทำนอง ชาวนา (ผู้จัดการสหกรณ์นิคมศรีสำโรง จำกัด จ.สุโขทัย) รองหัวหน้าพรรค
นายอดิศักดิ์ ฟักแฟง (ผู้จัดการสหกรณ์การเกษตรคลองขลุง จำกัด จ.กำแพงเพขร) เลขาธิการพรรค
นางปอรญา ยศมา (ผู้จัดการสหกรณ์การเกษตรศรีเทพ จำกัด จ.เพชรบูรณ์) รองเลขาธิการพรรค
นางเจริญศรี โสระมัด (ผู้จัดการสหกรณ์การเกษตรขาณุวรลักษบุรี จำกัด จ.กำแพงเพชร) เหรัญญิกพรรค
นายนพรัต ลำเนาครุฑ (ผู้ช่วยผู้จัดการสหกรณ์การเกษตรคลองขลุง จำกัด จ.กำแพงเพชร) นายทะเบียนสมาชิกพรรค
นางปารณีย์ คล้ายปาน (ผู้จัดการสหกรณ์การเกษตรพยุหะคีรี จำกัด จ.นครสวรรค์) โฆษกพรรค
นางสุจินดา อินทร์สุข (ผู้จัดการสหกรณ์การเกษตรวังทรายพูน จำกัด จ.พิจิตร) กรรมการบริหารพรรค
นายอานนท์ อุปวาณิช (ผู้จัดการสหกรณ์การเกษตรศรีสำโรง จำกัด จ.สุโขทัย) กรรมการบริหารพรรค
นายสมบัติ มีโพธิ์ (ผู้จัดการสหกรณ์การเกษตรบึงสามพัน จำกัด จ.เพชรบูรณ์) กรรมการบริหารพรรค
นายศุจิพิพัฒน์ คำเบิก (ผู้จัดการสหกรณ์นิคมคีรีมาศ จำกัด จ.สุโขทัย) กรรมการบริหารพรรค
นายมานัส บัวทอง (ผู้ช่วยผู้จัดการสหกรณ์การเกษตรวัดจันทร์ จำกัด จ.พิษณุโลก) กรรมการบริหารพรรค
นายธงชัย ทองอ่วม (ผู้จัดการสหกรณ์การเกษตรวังทอง จำกัด จ.พิษณุโลก) กรรมการบริหารพรรค
นายทวิรวัฒน์ บัวขาว (ผู้ช่วยผู้จัดการสหกรณ์การเกษตรคลองขลุง จำกัด จ.กำแพงเพชร) กรรมการบริหารพรรค
ว่าที่ร้อยตรี ทวีป ยอดเศรณี (อดีตผู้ตรวจราชการกรมส่งเสริมสหกรณ์) ประธานที่ปรึกษาพรรค
นายจเรย์ สนประเทศ (อดีตสหกรณ์จังหวัดตาก/นักวิชาการกรมส่งเสริมสหกรณ์) ที่ปรึกษาพรรค
นายพรชัย อินทร์สุข (อาจารย์มหาวิทยาลัยพิษณุโลก) ที่ปรึกษาพรรค
นายธีระ เฟื่องฟูลอย (ที่ปรึกษาคณะกรรมาธิการเกษตรและสหกรณ์ ของสภาฯ) ที่ปรึกษาพรรค
นายอุทัยสิทธิ์ ตรีบุญเมือง (ที่ปรึกษาคณะกรรมาธิการเกษตรและสหกรณ์ ของสภาฯ) ที่ปรึกษาพรรค
นายกุลเกียรติ ทับทิมทอง (ผู้จัดการสหกรณ์การเกษตรโกรกพระ จำกัด จ.นครสวรรค์) ที่ปรึกษาพรรค
นายวิชญ์ภาส พุ่มฉัตร (นิติกร สหกรณ์การเกษตรคลองขลุง จำกัด จ.กำแพงเพชร) ที่ปรึกษาพรรค
นายประยุทธ์  อินทร์ตลาดชุม (นักกฎหมาย ,เลขานุการประจำคณะกรรมาธิการการเกษตรและสหกรณ์) ที่ปรึกษาพรรค
นายปรีชา   เสธา   (ผู้ชำนาญการด้านเคมีการเกษตร)   ที่ปรึกษาพรรค
นายจิตติ  เจียมเจือจันทร์  (ผู้จัดการสหกรณ์นิคมลานสัก จำกัด จ.อุทัยธานี)  ที่ปรึกษาพรรค

และในอนาคตอันใกล้นี้ ทางพรรคพลังสหกรณ์ จะมีผู้นำ/ผู้บริหาร/กรรมการ และสมาชิกพรรคพลังสหกรณ์ เพิ่มขึ้น รวมพลังสหกรณ์...สร้างขาติ