โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
วันที่ 5 กรกฎาคม 2555 09:00
เกริก วณิกกุล รองผู้ว่าการ ด้านเสถียรภาพสถาบันการเงิน
ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.)
แบงก์ชาติสั่งสถาบันการเงิน เร่งสำรองเผื่อหนี้สงสัยจะสูญเพิ่ม เสริมความแข็งแกร่ง รองรับวิกฤติเศรษฐกิจโลกผันผวนหนัก
นายเกริก วณิกกุล รองผู้ว่าการ ด้านเสถียรภาพสถาบันการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า ตั้งแต่ช่วงต้นปี 2555 เป็นต้นมา ธปท.ได้ขอให้สถาบันการเงินต่างๆ ทยอยตั้งสำรองเผื่อหนี้สงสัยจะสูญเพิ่มเติม เพื่อรองรับความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นกับปัญหาเศรษฐกิจโลก รวมถึงการเติบโตของสินเชื่อที่ขยายตัวค่อนข้างมากในช่วงที่ผ่านมา
"ปกติแล้วฝ่ายกำกับสถาบันการเงิน จะออกเดินสายพบแบงก์พาณิชย์เป็นประจำ ซึ่งปีนี้ทยอยออกไปพบบ้างแล้วตั้งแต่ต้นปี และได้พูดคุยหารือกับแบงก์ต่างๆ ถึงเรื่องการตั้งสำรองเผื่อหนี้สงสัยจะสูญที่เพิ่มเติม ซึ่งแบงก์ก็เห็นด้วย หลายแบงก์ได้ทยอยเพิ่มไปก่อนหน้านี้แล้วด้วย" นายเกริกกล่าว
"แบงก์ส่วนใหญ่ตั้งสำรองสูงกว่าเกณฑ์ขั้นต่ำอยู่แล้ว โดยเฉพาะแบงก์ที่ผ่านวิกฤติปี 2540 เพียงแต่อนาคตเราไม่สามารถคาดเดาได้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ดังนั้น สิ่งที่เราทำได้ คือ ทำให้ตัวเองแข็งแรงขึ้น เปรียบเหมือนไข้หวัดนก เราไม่รู้หรอกว่าเราจะติดหวัดหรือไม่ แต่ถ้าเราออกกำลังการ พักผ่อนให้เพียงพอ เพื่อให้ร่างกายมีภูมิต้านทาน โอกาสติดหวัดก็ยาก การขอให้ตั้งสำรองฯ เพิ่ม ก็เหมือนเป็นการสร้างภูมิต้านทานให้กับตัวแบงก์เอง"
****************************
โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
วันที่ 6 กรกฎาคม 2555 08:49
ดร.อนุสรณ์ ธรรมใจ คณบดีคณะเศรษฐศาสตร์
และผู้อำนวยการศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจเพื่อการปฏิรูป
มหาวิทยาลัยรังสิต
นักวิชาการมหาวิทยาลัยวิทยาลัยรังสิตแนะแบงก์ชาติหั่นดอกเบี้ย 0.5-1% รับมือวิกฤติหนี้ยุโรปรุนแรง เตือนปัจจัยเสี่ยงการเมืองในประเทศครึ่งปีหลัง
ดร.อนุสรณ์ ธรรมใจ คณบดีคณะเศรษฐศาสตร์ และผู้อำนวยการศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจเพื่อการปฏิรูป มหาวิทยาลัยรังสิต เสนอแนะว่า ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ควรปรับลดดอกเบี้ยนโยบายลงอีก 0.5-1% ในกรณีที่ไทยได้รับผลกระทบปานกลางถึงรุนแรงโดยไม่ก่อให้เกิดปัญหาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ ค่าเฉลี่ยของอัตราแลกเปลี่ยนอยู่ที่ 31.50-32.00 บาทต่อดอลลาร์ โดยเงินบาทจะทยอยอ่อนค่าลงจากการขาดดุลบัญชีเดินสะพัดเพิ่มขึ้น จากการเร่งตัวของการนำเข้าจากภาคการลงทุน และปัจจัยเสี่ยงทางการเมืองที่อาจเพิ่มขึ้นในช่วงที่เหลือของปี และอาจเห็นเงินบาทแตะ 33-34 บาทต่อดอลลาร์ในบางช่วง อัตราการนำเข้าขยายตัวที่ระดับ 12-14 % ทำให้การเกินดุลการค้าลดลงมาอยู่ที่ระดับ 5 พันล้านดอลลาร์ ดุลบัญชีเดินสะพัดขาดดุล 0.5-3 พันล้านดอลลาร์ หรือ ประมาณ 1% ของจีดีพี
ดร. อนุสรณ์ กล่าวถึง ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ในช่วงที่เหลือของปีมีความผันผวนเพิ่มขึ้นจากปัจจัยยูโรโซนแต่มีผลกระทบไม่มากเท่าปัจจัยเสี่ยงทางการเมืองภายในประเทศ กำไรของบริษัทจดทะเบียนยังคงเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญจากนโยบายการปรับลดภาษีนิติบุคคลโดยเฉพาะอย่างยิ่งบริษัทที่มีกำไรจำนวนมากและเคยเสียภาษีจำนวนมาก จะทำให้หลายบริษัทในหลาย Sector จ่ายเงินปันผลเพิ่มขึ้นในช่วงครึ่งปีหลัง
************************
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น